วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2556

UPS คืออะไร

UPS คืออะไร
UPS (Un-interruptible Power Supply) คือ เครื่องสำรองไฟฟ้าและปรับแรงดันไฟฟ้าอัตโนมัติในกรณีที่ไฟจากการไฟฟ้าเกิดมีปัญหาขึ้นมา เช่นไฟตก ไฟเกิน ไฟดับ หรือไฟกระชาก เป็นต้น โดยที่ UPS จะจ่ายพลังงานออกมาอย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพในทุกสถานการณ์ ตลอดจน เป็นอุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันความเสียหายที่สามารถเกิดขึ้นกับอุปกรณ์ไฟฟ้า และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ (โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์เชื่อมต่อ) รวมถึงมีหน้าที่ในการจ่ายพลังงานไฟฟ้าสำรองจากแบตเตอรี่ให้แก่อุปกรณ์ไฟฟ้าหรือคอมพิวเตอร์ เมื่อเกิดปัญหาทางไฟฟ้า
ความสำคัญของ UPS
เนื่องจากการส่งจ่ายระบบไฟฟ้า ในทางปฏิบัตินั้นไม่ได้มีการส่งแรงดันไฟออกมา 220 V จริงๆ แต่ว่าแรงดันที่ส่งจ่ายออกมาอาจจะมากกว่า 220 V ดังนั้นก็หมายความว่าโซนที่อยู่ใกล้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแรงดันทางไฟฟ้าจะมาก และแรงดันก็จะลดลั่นกันมาเรื่อยๆตามระยะทางของสายส่ง ทำให้เกิดปัญหาเรื่องไฟตก ไฟเกิน รวมทั้งความผิดพลาดที่อาจจเกิดขึ้นได้ในระบบไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น เรื่องฮาร์โมนิค การแกว่งขึ้นลงของกระแสไฟฟ้า ไฟกระชาก รวมไปถึงไฟดับ สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้เกิดความเสียหายกับระบบคอมพิวเตอร์ ระบบสื่อสาร การแพทย์ ระบบอุตสาหกรรม จนถึงระบบการบิน ซึ่งในความเป็นจริงการรบกวนทางระบบไฟฟ้า(Electrical disturbances) เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความสูญเสียทางข้อมูลถึง 45% ดังนั้นระบบ UPS ถูกออกแบบมาเพื่อปกป้องอุปกรณ์ที่อ่ออนไหวต่อการรบกวนทางไฟฟ้า
 ประเภทของ UPS 
ประเภทหรือรุปแบบของ UPS จะมีการแบ่งตามลักษณะเฉพาะ โดยแบ่งตามสถาปัตยกรรมทางไฟฟ้าภายในของแต่ละประเภท หรือที่เราเรียกว่า "Topology" ว่าประเภทใดจะให้ประโยชน์ที่เหมาะสมและจำเป็นต่อความต้องการในการป้องกันอุปกรณ์ที่แตกต่างกันออกไป การแบ่งประเภทของ UPS ตามมาตรฐานสากล EN50091-3 แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ

Passive Stanby UPSs (Off-line)UPS ที่มี Topology ในแบบ Off-line จะเ้หมาะกับโหลดที่ไม่อ่อนไหวต่อสัญญาณรบกวนทางไฟฟ้า หรือจะต้องเป็นโหลดที่มีแหล่งจ่ายไฟที่มีคุณภาพดี ซึ่งในความเป็นจริงไม่สามารถรับประกันได้ว่าคุณภาพของแรงดันที่จ่ายออกมาจากการไฟฟ้าจะมีคุณภาพดีหรือไม่

ซึ่งการทำงาน ภายใต้สภาวะการทำงานปกติ โหลดจะรับแรงดันไฟโดยตรงจากการไฟฟ้าโดยผ่านอุปกรณ์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อปรับปรุงคุณภาพของระบบไฟฟ้า โดยที่แรงดันส่วนหนึ่งจะถูกนำไปชาร์ตแบตเตอรี่ ผ่านอุปกรณ์ charger โดยจะทำหน้าที่เปลี่ยนไฟกระแสสลับ (AC) ให้เป็นไฟกระแสตรง(DC) และถ้าระบบไฟเกิดล่มหรือมีปัญหาขึ้น เช่น ไฟดับ เป็นต้น UPS จะทำารจ่ายแรงดันไฟจากแบตเตอรี่แทนทันทีภายในเวลาเพียง 2-3 มิลลิวินาที โดยผ่านอุปกรณ์ที่เรียกว่า Inverter ซึ่งทำหน้าที่แปลงไฟกระแสตรง (DC) ให้เป็นไฟกระแสสลับ (AC) เพื่อจ่ายให้กับโหลด ทำให้โหลดทำงานได้อย่างปกติ
 Line interactive UPSs

UPS ในแบบ Line interactive มีการปรับปรุงการทำงานให้ดีขึ้น โดยให้ Inverter หรือกลไกการทำงานภายในทำงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยที่แรงดันไฟจากการไฟฟ้าจะคงที่ แต่ว่ามีการเปลี่ยนแปลงความถี่ด้าน output ให้มีความสอดคล้องกับความถี่ด้าน input

UPS ประเภท Line interactive จะเหมาะกับโหลดที่มีความอ่อนไหวต่อการรบกวนทางไฟฟ้าในระดับปานกลางเท่านั้น

Double conversion UPSs (On-line)
UPS แบบ on-line เป็นระบบสำรองไฟที่ประสิทธิภาพสูงสุด เหมาะกับโหลดที่ค่อนข้างมีความสำคัญมาก สามารถทำงานได้อย่างปกติถึงแม้ระบบการจ่ายไฟฟ้าจะไม่เสถียรก็ตาม
หลักการออกแบบ UPS แบบ on-line นั้น กระแสไฟฟ้าด้าน input จะถูกเปลี่ยนจากไฟกระแสสลับเป็นไฟกระแสตรง และจากนั้นก็จะถูกเปลี่ยนจากกระแสตรงเป็นกระแสสลับอีกครั้ง เพื่อจ่ายให้กับโหลด ดั้งนั้นจะเห็นได้ว่าโหลดจะถูกแยกออกจากการรบกวนในระบบแหล่งจ่ายไฟฟ้าโดยสิ้นเชิง และถ้าระบบไฟฟ้าล่ม หรือมีปัญหาขึ้น โหลดจะรับไฟจากแบตเตอรี่แทน โดยผ่าน inverter ซึ่งจะจ่ายกระแสไฟฟ้าได้อย่างรบรื่น โดยไม่มีสัญญาณรบกวนใดๆ และในกรณีที่ตัว UPS เองเกิดมีปัญหาขึ้นมา ระบบจะทำการ by-pass ทันที่เพื่อเป็นการป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับโหลด


วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

6 สถานที่เที่ยวยอดฮิตในกรุงโซล ที่ห้ามพลาดเด็ดขาด

6 สถานที่เที่ยวยอดฮิตในกรุงโซล ที่ห้ามพลาดเด็ดขาด


6 สถานที่เที่ยวยอดฮิตในกรุงโซล ที่ห้ามพลาดเด็ดขาด

กรุงโซล

ขอขอบคุณภาพประกอบจาก kpopislandrocks.wordpress.com 


          เมื่อพูดถึงประเทศเกาหลีใต้ จะนึกถึงอะไรกันบ้างครับ ติ๊กต่อก ๆ ...คิดถึงเหล่าบรรดาศิลปินนักแสดง อาหาร และวัฒนธรรมต่าง ๆ กันใช่ไหมล่ะ ถ้าใช่ ก็ถือว่าตอบถูกครับ แต่ยังไม่ถูกทั้งหมด เพราะสิ่งที่เราจะนำเสนอนี้ ไม่ใช่เรื่องของที่กล่าวมาแต่อย่างใด แต่เป็นสิ่งที่เป็นศูนย์กลางสำคัญของประเทศเกาหลีใต้ต่างหาก ใช่แล้วครับ สิ่งที่จะมานำเสนอในวันนี้ก็คือสถานที่เที่ยวฮอตฮิตของกรุงโซลเมืองหลวงของแดนกิมจินั่นเอง

          เมืองหลวงแห่งนี้มีความสำคัญกับเศรษฐกิจของเอเชียเราอยู่พอสมควร อีกทั้งยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่ได้รับความนิยมอย่างมากอีกด้วย แต่คุณรู้หรือเปล่าว่าในกรุงโซลนั้น มีสถานที่อันฮอตฮิตที่หากคุณได้มีโอกาสเดินทางไปที่นั่นแล้วล่ะก็ บอกได้คำเดียวว่า "ห้ามพลาดนะจ๊ะ" ไปดูกันว่าทั้ง 6 สถานที่ซึ่งทางเว็บไซต์ Relax.com.sg ได้แนะนำไว้นั้น จะมีที่ใดบ้างและจะฮอตฮิตขนาดไหน ตามไปดูกันเลย !!

หมู่บ้านบุกชอนฮันอ๊ก (Bukchon Hanok Village)

1. หมู่บ้านบุกชอนฮันอ๊ก (Bukchon Hanok Village)

          หมู่บ้านบุกชอนฮันอ๊กแห่งนี้ ตั้งอยู่ระหว่างพระราชวังเคียงบ๊อคกุง ( Gyeongbokgung Palace) และพระราชวังชางด๊อกกุง (Changdeokgung Palace) ในอดีตเป็นหมู่บ้านที่มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ๆ เพราะเป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าบรรดาขุนนางระดับสูง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงมรดกทางวัฒนธรรมที่มีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โชซอน ซึ่งคนพื้นถิ่นจะเรียกหมู่บ้านแห่งนี้แบบง่าย ๆ สั้น ๆ ว่า "หมู่บ้านบุกชอน" ซึ่งในภาษาเกาหลีจะหมายถึงหมู่บ้านทางเหนือนั่นเอง

ย่านวัฒนธรรมอินซา-ดง (Insa-dong Culture District)

2. ย่านวัฒนธรรมอินซา-ดง (Insa-dong Culture District)

          เรื่อย ๆ มาเรียง ๆ เดินจากหมู่บ้านบุกชอนฮันอ๊กลงมาทางใต้ประมาณ 10 - 15 นาที คุณก็จะเจอกับย่านวัฒนธรรมอินซา-ดง ที่มีทั้งห้องแสดงงานศิลปะ ร้านขายเครื่องแกะสลักแบบพื้นเมือง ร้านขายวัตถุโบราณ ภัตตาคารและร้านน้ำชาตามแบบเกาหลีดั้งเดิม ซึ่งนับเป็นสถานที่สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสกับวัฒนธรรมเกาหลีแบบดั้งเดิมแท้ ๆ นอกจากนี้ ที่นี้ยังเป็นแหล่งวัตถุโบราณ ทั้งภาพเขียนเก่าแก่ งานเครื่องปั้นดินเผา งานกระดาษ และเครื่องเรือนเก่าอีกด้วย

พระราชวังเคียงบกกุง (Gyeongbokgung Palace)

3. พระราชวังเคียงบกกุง (Gyeongbokgung Palace)

          พระราชวังแห่งนี้เป็นศูนย์กลางการปกครองในสมัยราชวงศ์โชซอน  ในเขตพระราชวัง ประกอบไปด้วยพระที่นั่งต่าง ๆ มากมาย เช่น ห้องประทับของกษัตริย์และพระราชินี ห้องทรงพระอักษร ท้องพระโรง สวนกลางแจ้ง นอกจากนี้ยังมีพระตำหนักเคียวฮเวรู ที่มีลักษณะเป็นอาคารสองชั้น พระตำหนักถูกสร้างให้ยื่นออกไปกลางสระน้ำ เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับจัดงานเลี้ยงพระราชทานนสมัยนั้น

มยองดง (Myeongdong)

4. มยองดง (Myeongdong)

          ถ้าบ้านเรามีสยามสแควร์ เป็นแหล่งช้อปปิ้งของเหล่าวัยทีนทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ เครื่องสำอางและอื่น ๆ ที่กรุงโซลก็มีย่าน มยองดง หรือเมียงดง เป็นแหล่งช้อปปิ้งเช่นเดียวกัน เพราะที่นี้ถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางของสินค้าแบรนด์เนมมากมายหลากหลายยี่ห้อ และถ้าเดิน ๆ ช้อปปิ้งจนเริ่มรู้สึกหิวข้าวขึ้นมาแล้วล่ะก็ ไม่ต้องเป็นห่วงไป เพราะที่ก็เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยร้านอาหารชั้นเลิศมากมายเช่นเดียวกัน เรียกได้ว่า "ช้อป", "ชิม", "เที่ยว" มีอยู่ที่นี่ครบ!

ตลาดนัมแดมุน (Namdaemun Market)

5. ตลาดนัมแดมุน (Namdaemun Market)

          เปลี่ยนบรรยากาศการช้อปปิ้งของหรู ๆ จากย่านเมียงดง มาช้อปปิ้งที่สำเพ็งบ้านเรา เอ๊ย! ล้อเล่นครับ เปลี่ยนมาเป็นตลาดนัมแดมุนต่างหาก เพราะตลาดนัมแดมุนถือเป็นแหล่งค้าขายสินค้าต่าง ๆ ในราคาถูกและซื้อ - ขายในราคาส่งกันจำนวนมาก ที่นี่มีร้านค้ามากมายให้คุณได้เลือกจับจ่ายซื้อของมากหลายพันร้านค้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ขอเตือนไว้สักนิดว่าหากใครที่ชอบต่อราคาสินค้า ก็ขอให้ระมัดระวังหรือไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน เพราะพ่อค้าแม่ค้าที่นี่ ไม่เคยปรานีใครง่าย ๆ เหมือนกันนะจ๊ะ...จะบอกให้

รถไฟใต้ดิน (Subway)

6. รถไฟใต้ดิน (Subway)

          ไหน ๆ ก็ไปถึงกรุงโซลกันแล้ว คุณก็ไม่ควรพลาดที่จะสัมผัสกับวิถีชีวิตของผู้คนด้วยการขึ้นรถไฟใต้ดินในกรุงโซลนั่นเอง การใช้บริการรถไฟใต้ดินในกรุงโซลนั้น ถือเป็นสิ่งจำเป็นและจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปได้มาก แต่อย่างไรก็ดี หากจะใช้บริการรถไฟใต้ดินแล้วล่ะก็ กรุณาพกแผนที่และแผนผังของสถานีต่าง ๆ ติดตัวเอาไว้ด้วยนะครับ เพราะที่กรุงโซลมีสถานีรถไฟใต้ดินเป็นร้อย ๆ สถานีเลยทีเดียว แถมยังแบ่งเส้นทางอีกตั้ง 8 สาย และเชื่อมต่อสถานีไปที่ต่าง ๆ อีกมากมาย ฉะนั้นแล้วอย่าได้ทำแผนที่หายเป็นอันขาดล่ะ

          เป็นอย่างไรกันบ้าง กับทั้ง 6 สถานที่อันฮอตฮิตในกรุงโซลที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ เชื่อได้ว่าอย่างน้อย ๆ ทั้ง 6 สถานที่ที่แนะนำไปนี้ก็จะเป็นไกด์นำทางในการท่องเที่ยวให้กับเพื่อน ๆ กันได้บ้าง ว่าแล้วก็ขอตัวไปเก็บกระเป๋าเดินทางไปกรุงโซลก่อนละกัน แล้วจะเที่ยวเผื่อทุก ๆ คนเลยครับผม

วัฒนธรรมของคนเกาหลี


?
วัฒนธรรมคนเกาหลี
วัฒนธรรมคนเกาหลี
ชาวเกาหลีใต้ได้สร้างวัฒนธรรมที่โดดเด่นผ่านช่วงประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัฒนธรรมหลายๆอย่าง
เกิดขึ้นมาจากอิทธิพลของหลากหลายศาสนาซึ่งมีอิทธิพลมากต่อการดำรงชีวิตความเป็นอยู่ของ
ชาวเกาหลีมาจวบจนปัจจุบันนี้

การทักทาย
Korean DO (คนเกาหลีทำ)
การกล่าวคำทักทาย และคำขอบคุณต้องก้มหัวคำนับเสมอการโค้งต่ำระดับไหนนั้นขึ้นอยู่กับความ
อาวุโสของอีกฝ่าย
Korean DON? T (คนเกาหลีไม่ทำ)
ทักทายด้วยการโอบกอดในที่สาธารณะ นอกเสียจากเพื่อการร่ำลา

การเรียกผู้อื่น
Korean DO (คนเกาหลี ทำ)
? การเรียกคนที่ไม่รู้จักกัน หรือไม่รู้จักชื่อบางคนจะใช้คำพูดที่เป็นการเกริ่นนำขึ้นมาก่อนไม่ได้มีคำ
เรียกบุคคลนั้นตายตัว (เช่น ขอโทษนะคะ,ไม่ทราบว่า) แต่บางคนจะมีคำสรรพนามที่สามารถ
ใช้เรียกได้เลย (เช่น คุณลุง, คุณป้า)?
???
? การเรียกคนที่มีอายุมากกว่า จะไม่เรียกชื่อเขา แต่จะใช้สรรพนามให้
?เหมาะสมกับเขาคนนั้น (ซึ่ง
แบ่งตามเพศและสถานภาพ) แต่ถ้าเรียกคนที่มีอายุน้อยกว่า หรือเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน สามารถเรียก
ชื่อได้ หรืออาจใช้สรรพนามแทนก็ได้เช่นกัน
???
?? เรียกชื่อจริงเฉพาะกับเพื่อนสนิท หรือคนในครอบครัวเท่านั้น?
???
? การเรียกผู้อาวุโสในสำนักงาน อาจเติมคำว่า ?นิม ? ต่อท้ายตำแหน่ง
หน้าที่การงานของบุคคลนั้นหรือเติมคำว่า ?ชี ? ต่อท้ายชื่อเต็มของเพื่อนร่วมงาน เพื่อความสุภาพ
มากขึ้น
Korean DON?T (คนเกาหลี ไม่ทำ)
? เรียกคนที่ไม่รู้จักกัน หรือไม่รู้จักชื่อ ว่า ?นอ ? ที่แปลว่า You ในภาษาอังกฤษเพราะเป็นคำที่ใช้
เรียกกันเฉพาะในหมู่เพื่อนหรือคนสนิทเท่านั้น
???
? เรียกผู้อาวุโสกว่าด้วยชื่อจริง หรือ นอ???
???
? เรียกชื่อจริงของบุคคลผู้ที่เราไม่ได้รู้จักกันเป็นอย่างดี เช่นเพื่อนร่วมงาน,
?หัวหน้า ฯลฯ
 
การรับประทานอาหาร
Korean DO
? ใช้ตะเกียบโลหะกับช้อนยาวโดยใช้ช้อนรับประทานข้าวซุป และสตูว์ และใช้ตะเกียบกับเครื่อง
เคียงแบบอาหารแห้ง?
???
? เคี้ยวอาหารเสียงดังๆ เพื่อแสดงความอร่อย (คล้ายวัฒนธรรมจีนและญี่ปุ่น)??
???
? วางช้อนและตะเกียบลงบนโต๊ะเมื่อทานเสร็จแล้ว
???
? น้อมรับคำชมเกี่ยวกับรสชาติอาหารและบริการ
???
? ผู้น้อยต้องรอให้ผู้อาวุโสที่สุดเป็นฝ่ายบอกเริ่มการรับประทานอาหารเสมอ
?เมื่อมีคนรินเครื่องดื่มให้ก็ควรรินกลับเพื่อเป็นการแสดงความขอบคุณ
???
? ผู้ที่มีอายุน้อยที่สุดต้องเป็นคนรินเครื่องดื่มให้ผู้อาวุโส กว่าเสมอและ

ต้องรินด้วยสองมือ
 
Korean DON?T
? ใช้ช้อนและตะเกียบพร้อมกัน
???
? ปักตะเกียบไว้ในชามข้าว เพราะถือว่าเป็นการเซ่นไหว้คนตาย?
? ยกจานหรือชามขึ้นมาขณะรับประทานอาหาร?
? การพูดคุยระหว่างมื้ออาหารที่มากเกินไป?
? แชร์ค่าอาหาร (ยกเว้นในกรณีพิเศษ)?
? การสั่งน้ำมูกในโต๊ะอาหาร?
??ลุกจากโต๊ะอาหารก่อนที่ผู้อาวุโสที่สุดจะรับประทานเสร็จ?
? รินเครื่องดื่มให้ผู้อื่นขณะที่เครื่องดื่มในแก้วยังไม่หมด?
*****
ครอบครัวเกาหลีนิยมรับประทานข้าว ซุปและเครื่องเคียงอีกสาม

สี่อย่างรวมทั้งกิมจิมีการจัดเรียงจาก
ซ้ายไปขวาของผู้รับประทาน ดังนี้ ข้าว ซุป ช้อน และตะเกียบส่วนสตูและเครื่องเคียงอื่นๆ จะวาง
กลางโต๊ะ รับประทานกับผู้อื่น ชาวเกาหลีเชื่อว่าการรับประทานอาหารร่วมจานกันจะเป็นการกระชับ
ความสัมพันธ์ แต่หากต้องการจานชามส่วนตัวก็สามารถขอได้และทุกวันนี้ร้านอาหารเกาหลีก็จะ
จัดชุดจานเฉพาะบุคคลให้
 
การแสดงออก
Korean DO
? การจับมือทักทายกันอย่างสุภาพ
???
? โอบกอดในที่สาธารณะะทำเฉพาะกรณีเพื่อการร่ำลา
???
? แสดงออกอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน
???
? ชาวเกาหลีจะแสดงแสดงความคิดเห็นด้วยความระมัดระวังรอบ
คอบเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นเกิดการ
เข้าใจหรือตีความหมายผิด?
 
Korean DON?T??
??การแสดงความรักระหว่างเพศในที่สาธารณะ (เช่น กอด, จูบ)?
???
? ถูกเนื้อต้องตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณศีรษะ?นอกจากจะ
แสดงความเอ็นดูต่อเด็กเล็กๆ เท่านั้น?
???
? คุยโวโอ้อวดความสามารถของตนเอง?
???
? แสดงความคิดเห็นอย่างตรงไปตรงมา
???
? ทิ้งขยะบนท้องถนนเพราะค่าปรับแพง
?
การใช้มือ
Korean DO
? สิ่งของจากผู้ใหญ่ ด้วยสองมือ
???
? มอบสิ่งของให้ผู้ใหญ่ ด้วยสองมือ
Korean DON?T
?? รับสิ่งของจากผู้ใหญ่ ด้วยมือเดียว?
???
? มอบสิ่งของให้ผู้ใหญ่ ด้วยมือเดียว?
?
การไปเยี่ยมบ้านผู้อื่น
Korean DO
? ถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้าน เนื่องจากตามประเพณีดั้งเดิมคนเกาหลีนั่งรับประทานอาหาร และนอน
บนพื้น
? สวมถุงเท้า หรือถุงน่อง?
Korean DON?T
? ใส่รองเท้าเข้าบ้าน
???
? เดินหรือนั่งเท้าเปล่าต่อหน้าผู้ใหญ่ หรือผู้อาวุโส

การปฏิเสธ
Korean DO

ใช้วิธีการพูดแบบอ้อมๆ (พูดอ้อมค้อม)

?
Korean DON?T
ใช้วิธีการพูดแบบตรงไปตรงมา
อื่นๆ
Korean DO
? ในเกาหลี การให้ทิป ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะตามโรงแรม และร้านอาหารจะบวกค่าบริการ
(Service Charge) ไว้แล้ว 5 ? 10% ของค่าอาหาร หรือห้องพัก?
???
? ค่าเลี้ยงสุนัขที่เกาหลีใต้ค่อนข้างแพง ถ้าหากจูงสุนัขไปเดินเล่นตาม
ถนน แล้วสุนัขอึเราต้องทำการ
เก็บทำความสะอาด มิฉะนั้นต้องเสียค่าปรับ
???
? ตามร้านมินิมาร์ทที่เกาหลีใต้ เวลาซื้อของ เขาจะไม่ใส่ถุงให้ ทั้งนี้เพื่อ
รณรงค์ลดการใช้ถุง
พลาสติก หากต้องการถุง เขาจะคิดเงินเพิ่ม 100 วอน แต่ก็มีบางร้านที่ให้ถุงโดยไม่ต้องจ่ายเงิน
???
? ประเทศเกาหลีใต้ มีระบบตรวจจับคนที่ขับรถผิดกฎจราจร ซึ่งทางตำรวจ
จะส่งหลักฐานมาถึงบ้าน
เพื่อแจ้งเรื่อง ความเร็ว, เวลา, ทะเบียนรถยนต์ และผู้ทำผิดกฎจราจรต้องไปเสียค่าปรับที่โรงพักเอง
???
? ผู้หญิงเมื่อแต่งงานแล้ว จะไม่เปลี่ยนไปใช้นามสกุลของสามี แต่จะยังคง
ใช้นามสกุลของตนตาม
เดิม ส่วนบุตรธิดา จะใช้ชื่อสกุลของบิดา
???
? ชาวเกาหลี มีความคิดที่ว่าการถามคำถามอย่าง ?คุณอายุเท่าไร ???

?คุณแต่งงานแล้วหรือยัง ??
หรือ ?ทำไมคุณถึงมาที่เกาหลี ?? จะช่วยให้เกิดความใกล้ชิดและมิตรภาพที่ดีขึ้น ดังนั้น จึงไม่
แปลก หากชาวเกาหลีจะถามอายุของเรา เพราะเขาจะได้รู้ว่าควรจะใช้คำพูด ในการคุยกับเราอย่าง
ไร
 

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

้hw-Preposition (บุพบท)


Preposition  (บุพบท)
https://sites.google.com/site/prapasara/chow-deiyw-not

เรื่องการใช้บุพบทในภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับนักเรียนไทยส่วนใหญ่ เพราะวิธีการใช้ก็จะแตกต่างกันไปตามแต่ละสำนวน แต่ละประโยค ซึ่งเรียกว่าเรียนกันไปจบไม่สิ้นทีเดียว
แต่ทว่า "การเดินทางหมื่นลี้ เริ่มจากก้าวแรก" ดังนั้นครูจึงขอให้นักเรียนเริ่มให้ความสนใจกับบุพบทในภาษาอังกฤษนับตั้งแต่วันนี้ บุพบทคือคำที่ใช้เชื่อมคำนาม,คำสรรพนาม,หรือวลีเข้าด้วยกัน โดยคำหรือวลีที่อยู่หลังบุพบทจะถูกเรียกว่า "กรรมตามหลังบุพบท" คำบุพบทจะใช้เพื่อแสดงว่าคำหรือวลีที่อยู่หลังบุพบทนั้นมีความสัมพันธ์กับส่วนอื่นๆอย่างไรในประโยค ในที่นี้ ครูขอแบ่งบุพบทในภาษาอังกฤษเป็น 3 หมวดใหญ่ ได้แก่
บุพบทบอกเวลา
บุพบทบอกสถานที่
บุพบทลูกผสม คือบอกสถานที่และทิศทางในเวลาเดียวกัน

(อย่างไรก็ตามในภาษาอังกฤษก็ยังมีบุพบทที่ทำหน้าที่อื่นๆ อีกด้วยซึ่งจะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป)


การใช้บุพบทบอกเวลา



ตารางต่อไปนี้แสดงการใช้บุพบทบอกเวลา


บุพบท คำอธิบายการใช้ ตัวอย่าง
in ใช้กับชื่อเดือน
in July; in September

  ใช้กับ ปีค.ศ. in 1985; in 1999
  ใช้กับชื่อฤดูกาล in summer; in the summer of 69
  ใช้กับช่วงเวลาของวัน เช่น ตอนเช้า ตอนบ่าย ตอนกลางคืน in the morning; in the afternoon; in the evening
  ใช้กับระยะเวลา (ในอนาคต) in a minute; in two weeks




บุพบท คำอธิบายการใช้ ตัวอย่าง
at ช่วงของวัน เช่น ตอนกลางคืน at night (เป็นสำนวน)
  ใช้กับจุดเวลา at 6 o'clock; at midnight
  ใช้กับเทศกาล at Christmas; at Easter
  ใช้กับสำนวนเฉพาะ at the same time




preposition use
examples

on ใช้กับชื่อวันในสัปดาห์ on Sunday; on Friday
  ใช้กับวันที่ on the 25th of December*
  ใช้กับวันพิเศษ on Good Friday; (วันศุกร์ของสัปดาห์อีสเตอร์)
on Easter Sunday (วันอาทิตย์ซึ่งเป็นวันอีสเตอร์)
on my birthday (วันเกิดของฉัน)




* คำที่เป็นตัวเอียงให้ละไปในภาษาเขียน (เช่น on 25th December อ่านว่า on the twenty fifth of December)


บุพบท คำอธิบายการใช้ ตัวอย่าง
after หลังจาก กิจกรรมบางอย่าง. after school (หลังเลิกเรียน)
before ก่อนบางอย่างจะเกิดขึ้น before Christmas (ก่อนเทศกาลคริสมาส)
by ก่อนถึงเวลาหนึ่งๆ by Thursday (ก่อนจะถึงวันพฤหัสบดี)
during ระหว่าง (+คำนาม) during the holidays (ระหว่างวันหยุด)
between ระหว่างสองจุดเวลา between Monday and Friday (ระหว่างวันจันทร์ถึงวันศุกร์)
from ... to
from... till/until ตั้งแต่...จนถึง... from Monday to Wednesday
from Monday till Wednesday
from Monday until Wednesday (ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันพุธ)
past ใช้กับการบอกเวลา 23 minutes past 6 (6:23)
(ถ้าแปลตรงตัวจะแปลว่า ยี่สิบสามนาที ผ่าน หก ซึ่งหมายความว่า ผ่านหกนาฬิกามาได้ยี่สิบสามนาทีแล้ว = 6:23 น.)
to ใช้กับการบอกเวลา 23 minutes to 6 (5:37) (ถ้าแปลตรงตัวจะแปลว่า ยี่สิบสามนาที จะถึง หก ซึ่งหมายความว่า อีกยี่สิบสามนาทีจะหกนาฬิกา = 5:37 น.)
for ใช้กับระยะเวลา for three weeks (เป็นเวลาสามสัปดาห์)
since ใช้กับจุดเวลา (แปลว่า ตั้งแต่) since Monday (ตั้งแต่วันจันทร์)
till/until จนถึง till tomorrow
until tomorrow
(จนถึงวันพรุ่งนี้)
up to ใช้กับการบอกปริมาณเวลาว่า ปริมาณสูงสุดจะไม่เกินปริมาณนี้ up to 6 hours a day (มากถึงหกชั่วโมงต่อวัน)
within ใช้กับระยะเวลา เพื่อบอกว่าระยะเวลาสิ้นสุดจะเกิดขึ้นเมื่อใด within a day (ภายในหนึ่งวัน)


การใช้บุพบทบอกสถานที่ (in, on, at)



ตารางต่อไปนี้แสดงการใช้บุพบทบอกสถานที่ in, on, at


บุพบท ประโยคตัวอย่าง คำแปล
in
We sit in the room .
เรานั่งอยู่ในห้อง
  I see a house in the picture .
ฉันเห็นม้าตัวนึงในรูป
  There are trouts in the river .
ในแม่น้ำมีปลาเทร้าท์
  He lives in Paris .
เขาอาศัยอยู่ในเมืองปารีส
  I found the picture in the paper .
ฉันเจอรูปในหนังสือพิมพ์
  He sits in the corner of the room .
เขานั่งอยู่มุมห้อง
  He sits in the back of the car .
เขานั่งอยู่ท้ายรถ
  We arrive in Madrid .
พวกเรามาถึงเมืองแมดริด
  He gets in the car .
เขาขึ้นรถ (เข้ามาบนรถ)
  She likes walking in the rain .
หล่อนชอบเดินตากฝน
  My cousin lives in the country .
ลูกพี่ลูกน้องฉันอาศัยอยู่ในชนบท
  There are kites in the sky .
มีว่าวอยู่ในท้องฟ้า
  He plays in the street . (BE)
เขาเล่นอยู่บนถนน
  She lives in a hotel .
หล่อนพักอยู่ในโรงแรมแห่งหนึ่ง
  The boys stand in a line .
เด็กชายหลายคนยืนเข้าแถว
  He is in town .
เขาอาศัยอยู่ในแมือง
  I have to stay in bed .
ฉันต้องนอนอยู่บนเตียง
  The robber is in prison now.
โจรติดคุกอยู่ในตอนนี้


บุพบท ประโยคตัวอย่าง คำแปล
at
She sits at the desk . หล่อนนั่งอยู่ที่โต๊ะ
  Open your books at page 10 . เปิดหนังสือไปที่หน้า 10
  The bus stops at Kent . รถประจำทางจอดที่แคนท์
  I stay at my grandmother's . ฉันอยู่ที่บ้านของคุณยาย
  I stand at the door . ฉันยืนอยู่ที่ประตู
  Look at the top of the page . มองที่ส่วนบนของหน้า
  The car stands at the end of the street . รถจอดอยู่ที่สุดถนน (ท้ายซอย)
  You mustn't park your car at the front of the school . คุณห้ามจอดรถที่หน้าโรงเรียน
  Can we meet at the corner of the street ? เราจะไปเจอกันที่หัวมุมถนนได้ไหม?
  I met John at a party . ฉันเจอกับจอห์นที่งานปาร์ตี้งานหนึ่ง
  Pat wasn't at home yesterday. เมื่อวานนี้แพทไม่อยู่บ้าน
  I study economics at university . ฉันเรียนวีชาเศรษฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัย
  He always arrives late at school . เขามักมาโรงเรียนสาย


บุพบท preposition คำอธิบายการใช้ use ตัวอย่าง examples
on The map lies on the desk .
แผนที่อยู่บนโต๊ะ
  The picture is on page 10 . รูปอยู่ที่หน้า 10
  The photo hangs on the wall . รูปถ่ายแขวนอยู่บนกำแพง
  He lives on a farm . เขาอาศัยอยู่ในฟาร์ม
  London Eye lies on the river Thames ลอนดอนอาย ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเทมส์
  Men's clothes in on the second floor . แผนกเสื้อผ้าชายอยู่ชั้นสอง
  The shop is on the left . ร้านค้าอยู่ทางซ้ายมือ
  My friend is on the way to Moscow . เพื่อนของฉันกำลังอยู่ระหว่างการเดินทางไปเมืองมอสโค
  Write this information on the front of the letter . เขียนข้อมูลนี้ลงบนด้านหน้าของจดหมาย


การใช้บุพบทบอกสถานที่และทิศทาง



ตารางต่อไปนี้แสดงการใช้บุพบทบอกสถานที่และทิศทาง


บุพบท คำอธิบาย ประโยคตัวอย่างและคำแปล
above อยู่เหนือ The picture hangs above my bed.
(รูปแขวนอยู่เหนือเตียงฉัน)
across จากอีกฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง You mustn't go across this road here.
(คุณข้ามถนนตรงนี้ไม่ได้)
There isn't a bridge across the river.
(ไม่มีสะพานที่จะข้ามแม่น้ำ)
after สิ่งหนึ่งที่ตามหลังอีกสิ่งหนึ่ง The cat ran after the dog.
(แมววิ่งไล่สุนัข)
After you. ต่อจากคุณนะครับ (เช่น ให้คุณทำให้เสร็จก่อน แล้วผมค่อยทำต่อ หรือ ใช้พูดเวลาเปิดประตูให้เพื่อน แล้วต้องการให้เพื่อนผ่านประตูไปก่อน)
against directed towards sth. The bird flew against the window.
along ไปตามแนว They're walking along the beach.
พวกเขาเดินไปตามชายหาด
among ในกลุ่ม, ท่ามกลาง I like being among people.
ฉันชอบอยู่ท่ามกลางผู้คน
around รอบๆ We're sitting around the campfire.
พวกเรานั่งล้อมรอบกองไฟ
behind ข้างหลัง Our house is behind the supermarket.
บ้านของพวกเราอยู่หลังซุปเปอร์มาร์เก็ต
below อยู่ต่ำกว่า Death Valley is 86 metres below sea level.
เด็ธวัลลิ อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 86 เมตร
beside ข้างๆ Our house is beside the supermarket.
บ้านของเราอยู่ข้างซุปเปอร์มาร์เก็ต
between ระหว่าง Our house is between the supermarket and the school.
บ้านของเราอยู่ระหว่างซุปเปอร์มาร์เก็ตกับโรงเรียน
by ใกล้ He lives in the house by the river.
เขาอยู่ในบ้านที่อยู่ใกล้กับแม่น้ำ
close to ใกล้ Our house is close to the supermarket.
บ้านของเราอยู่ติดกับซุปเปอร์มาร์เก็ต
down จากที่สูงลงมาสู่ที่ต่ำ, ลงมาจาก He came down the hill.
เขาลงมาจากเนินเขา
from จาก (สถานที่เริ่มต้น) Do you come from Tokyo ?
คุณมาจากเมืองโตเกียวใช่ไหม
in front of ข้างหลัง Our house is in front of the supermarket.
บ้านของเราอยู่หน้าซุปเปอร์มาร์เก็ต
inside ข้างใน You shouldn't stay inside the castle.
คุณไม่ควรอยู่ข้างในปราสาท
into เข้าไปใน You shouldn't go into the castle.
คุณไม่ควรเข้าไปในปราสาท
near ใกล้ Our house is near the supermarket.
บ้านของเราอยู่ใกล้ซุปเปอร์มาร์เก็ต
next to ติดกับ ข้างๆ Our house is next to the supermarket.
บ้านของเราอยู่ติดกับซุปเปอร์มาร์เก็ต
off ออกไปจาก The cat jumped off the roof.
แมวกระโดดออกไปจากหลังคา
onto ไปอยู่บน The cat jumped onto the roof.
แมวกระโดดขึ้นไปบนหลังคา
opposite ตรงข้ามกับ Our house is opposite the supermarket.
บ้านของเราอยู่ตรงข้ามกับซุปเปอร์มาร์เก็ต
out of ออกไปทาง The cat jumped out of the window.
แมวกระโดดออกไปทางหน้าต่าง
outside ข้างนอก Can you wait outside ?
คุณรออยู่ข้างนอกได้ไหม
over ข้าม The cat jumped over the wall.
แมวกระโดดข้ามกำแพง
past ผ่าน Go past the post office.
ผ่านที่ทำการไปรษณีย์ไป
round รอบๆ We're sitting round the campfire.
พวกเรานั่งล้อมรอบกองไฟ
through ตัดผ่าน You shouldn't walk through the forest.
คุณไม่ควรเดินผ่านป่า
to ไปยัง มายัง I like going to Australia
ฉันชอบไปทวีปออสเตรเลีย
Can you come to me?
คุณมาหาฉันหน่อยได้ไหม
I've never been to Africa .
ฉันไม่เคยไปอาฟริกา
towards มุ่งไปยัง They walk towards the castle.
พวกเขาเดินมุ่งไปยังปราสาท
under อยู่ใต้ The cat is under the table.
แมวอยู่ใต้โต๊ะ
up จากด้านล่างสู่ด้านบน, ขึ้นไปบน He went up the hill.
เขาขึ้นไปบนเขา


hw-Question Tag: กริยาวิเศษณ์บอกระดับ


Question Tag: กริยาวิเศษณ์บอกระดับ

Question Tags, Tag Questions หรือ Question Tails คือ รูปของประโยคคำถามย่อ (Mini question) ที่นำมาใส่ท้ายประโยคบอกเล่า เพื่อเป็นการทิ้งท้ายประโยคให้ผู้สนทนาอีกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมในการแสดงความเห็นต่อความคิดหรือประโยคนั้นๆ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว Question Tag จะนิยมใช้กันในภาษาพูด (Spoken language)มากกว่าภาษาเขียน (Written language)

โครงสร้างของ Question Tags

Statement (ประโยคหลัก)
Tags/Tails (ส่วนต่อท้าย หรือ หาง)
Positive Statement (+),
Negative Tag (-)?
Negative Statement (-),
Positive Tag (+)?
*หมายเหตุ Question Tags หากอยู่ในรูปปฏิเสธ (Negative Tag) จะต้องอยู่ในรูปย่อเท่านั้น เช่น aren’t (are not/am not), don’t (do not) shan’t (shall not), won’t (will not) และอื่นๆ

จุดประสงค์ของการใช้ Question Tags

เพื่อแสดงความมั่นใจ (confidence) หรือ ความไม่มั่นใจ (lack of confidence), ความสุภาพ (politeness), การเน้นย้ำ (emphasis), การประชดประชัน (irony) ซึ่งอาจมีความหมายคล้ายกับ “Am I right?” หรือ “Do you agree?” นั่นเอง
หลักการใช้ Question Tags


1. เมื่อประโยคขึ้นต้นเป็นประโยคบอกเล่า เราจะต้องใช้ Question Tags ในรูปปฏิเสธ (Negative Tag)
She loves shopping, doesn’t she?
They have a lot of friends, don’t they?
2. เมื่อประโยคขึ้นต้นเป็นประโยคปฏิเสธ เราจะต้องใช้ Question Tags ในรูปบอกเล่า (Positive Tag)
He doesn’t like to cook, does he?
We don’t want to go to school, do we?
3. เมื่อประโยคหลักมีกริยาแท้ (Main verb) เป็น Verb to have ให้ใช้ Verb to do มาสร้าง Question Tags
We have a lot of friends, don’t we?
She has a beautiful smile, doesn’t she?
* หาก have ในประโยคขึ้นต้น แปลว่า “มี” อาจจะใช้ Verb to do หรือ Verb to have มาสร้างเป็น Question Tags ก็ได้
4. เราสามารถนำ Auxiliary Verbs (กริยาช่วย) มาสร้าง Question Tags ได้ เช่น can, could, may , might, will, shall, ought to, should, V. to be , etc.


We should buy a house, shouldn’t we?
You ought to do your homework, oughtn’t you?
5. ประธานใน Question Tags ต้องเป็น I/You/We/They/He/She/It เท่านั้น
Somsak loves to go to the zoo, doesn’t he?
The kids are sleeping now, aren’t they?
ยกเว้น หากประธานเป็น “there” เราสามารถนำ “there” มาใช้เป็นประธานใน Question Tag ได้ เช่น
There are a lot of kids in your house, aren’t there?
6. คำว่า need (ต้องการ) และ dare (กล้าหาญ) สามารถใช้ Question Tags ได้โดยการใช้ Verb to do มาช่วย หรือ ใช้ need และ dare เลยก็ได้
They need help, don’t they?
You dare not taste that food, dare you?
They need help, needn’t they?
You dare not taste that food, do you?
7. เมื่อประโยคเป็นรูปแบบของคำสั่ง หรือ ขอร้อง ที่อยู่ในรูปของประโยคบอกเล่า (Positive Statement)
สามารถใช้ Question Tags ได้ทั้งในรูปบอกเล่า (Positive Tag) หรือ รูปปฏิเสธ (Negative Statement) โดยเรามักจะใช้ can, will และ would เข้ามาช่วยสร้างประโยคในส่วนของ Question Tags


Go to sleep, will you?
Stop laughing at me, won’t you?
Help me with this, can you?
8. หากประโยคขึ้นต้นด้วย Let's (Let us) เราจะใช้ Question Tags ในรูปของ “, shall we?” และหากประโยคขึ้นต้นเป็น Let + object+V.1 เราจะใช้ Question Tags ในรูปของ “, will you?” เช่น

Let’s go to the beach, shall we?
Let him go, will you?
9. หากประธานเป็น everyone, everybody, everything, no one, nobody, anybody, neither ให้เราใช้ theyในส่วนของ Question Tags

Everyone is smiling at you, aren’t they?
None of the students went to the school yesterday, did they?
10. หากประโยคประกอบด้วยคำที่มีความหมายเชิงปฏิเสธ (Negative meaning) เช่น seldom (ไม่ใคร่จะ), rarely (ไม่ใคร่จะ), scarcely (แทบจะไม่), hardly (เกือบไม่), barely (เกือบจะไม่) Question Tags จะต้องอยู่ในรูปของ Positive tags เท่านั้น


She scarcely seems to care, does she?
He rarely comes here, does he?
- I seldom got asleep, did I?
Few students can solve the problems, can they?
- They hardly spoke to anyone, did they?


11. หากประโยคเป็นประโยคซับซ้อน (complex) เรามักจะใช้ Verb ในประโยคหลัก (Main Clause) ใน Question Tags ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการเน้นที่จะบอกหรือพูดถึงสิ่งใด


If I did my homework, I wouldn’t be punishedwould I?
He said he would talk to her, didn’t he?
I think we should go nowshouldn’t we?
วิธีการตอบประโยค Question Tags

เรามักใช้ yes หรือ no เข้ามาช่วยในการตอบ แล้วตามด้วย Subject (ประธาน) และ Auxiliary Verbs (กริยาช่วย) เช่น
She is beautiful, isn’t she?
Yes, she is. / No, she isn’t.
They didn’t study for the exam, did they?
Yes, they did. / No, they didn’t.
การออกเสียง
เราสามารถเปลี่ยนความหมายของประโยค Question Tags ได้โดยการ ขึ้นเสียงสูง หรือ ลงเสียงต่ำ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว หากเรา…
ขึ้นเสียงที่ท้ายประโยค จะ เปรียบเสมือน เรากำลังตั้งคำถามกับผู้สนทนาอีกฝ่ายด้วยความไม่แน่ใจ หรือ ต้องการถามความเห็นที่แท้จริงของผู้สนทนาอีกฝ่าย
ลงเสียงต่ำที่ท้ายประโยค จะ เปรียบเสมือน เราต้องการให้ผู้สนทนาอีกฝ่ายนั้นเห็นด้วยกับสิ่งที่เราพูด

hw-Pronouns ( คำสรรพนาม )

Pronouns  ( คำสรรพนาม )
Types (ชนิดของคำสรรพนาม)

Pronoun ( คำสรรพนาม )  คือคำที่ใช้แทนคำนามหรือคำเสมอนาม ( nouns- equivalent ) เพื่อหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงซ้ำซาก หรือแทนสิ่งที่รู้กันอยู่แล้วระหว่างผู้พูด ผู้ฟัง   หรือแทนสิ่งของที่ยังไม่รู้ หรือไม่แน่ใจว่าเป็นอะไร   คำสรรพนาม  (pronouns ) แยกออกเป็น  7 ชนิด คือ
  • Personal Pronoun ( บุรุษสรรพนาม )  เช่น I, you, we, he , she ,it, they
  • Possessive Pronoun ( สรรพนามเจ้าของ ) เช่น mine, yours, his, hers, its,theirs, ours
  • Reflexive Pronouns ( สรรพนามตนเอง ) เป็นคำที่มี - self ลงท้าย  เช่น myself, yourself,ourselves
  • Definite Pronoun ( หรือ Demonstrative Pronouns สรรพนามเจาะจง )  เช่น  this, that, these, those, one, such, the same
  • Indefinite Pronoun ( สรรพนามไม่เจาะจง ) เช่น  all, some, any, somebody, something, someone
  • Interrogative Pronoun ( สรรพนามคำถาม ) เช่น Who, Which, What
  • Relative pronoun ( สรรพนามเชื่อมความ ) เช่น  who, which, that
1.Personal Pronouns ( บุรุษสรรพนาม )  คือสรรพนามที่ใช้แทนบุคคลหรือสิ่งของในการพูดสนทนา มี 3 บุรุษคือ
บุรุษที่ 1ได้แก่ตัวผู้พูดI, we
บุรุษที่ 2ได้แก่ผู้ฟัง  you
บุรุษที่ 3ได้แก่ผู้ ที่พูดถึง สิ่งที่พูดถึง he, she. it , they
รูปที่สัมพันธ์กันของคำสรรพนาม
รูปประธาน 
รูปกรรม
Possessive Form
Reflexive Pronoun
Adjective
Pronoun
 I
 me
my
 mine
 myself
we
us
our
ours
ourselves
you
you
your
yours
yourself
he
him
his
his
himself
she
her
her
hers
herself
it
it
its
its
itself
they
them
their
theirs
themselves
เช่น
I saw a boy on the bus. He seemed to recognize me.
ฉันเจอเด็กคนหนึ่งบนรถประจำทาง เขาดูเหมือนจะจำฉันได้  ( He ในประโยคที่สองแทน a boy และ me แทน I  ในประโยคที่หนึ่ง )
My friend and her brother like to swim. They swim whenever they can.
เพื่อนฉันและน้องชายของเธอชอบว่ายน้ำ พวกเขาไปว่ายน้ำทุกครั้งที่มีโอกาส (  they ในประโยคที่สอง แทน My friend และ her brother ในประโยคที่ 1 )
การใช้ Personal Pronouns ที่ทำหน้าที่เป็นประธานและเป็นกรรมมีหลักดังนี้Personal Pronoun ที่ตามหลังคำกริยาหรือตามหลังบุพบท ( preposition ) ต้องใช้ในรูปกรรม เช่น
Please tell him what you want.   โปรดบอกเขาถึงสิ่งที่คุณต้องการ  ( ตามหลังดำกริยา tell )
Mr. Wilson talked with him about the project.
คุณวิลสัน พูดกับเขาเกี่ยวกับโครงการ ( ตามหลังบุพบท with )
หมายเหตุ        ถ้ากริยาเป็น verb to be สรรพนามที่ตามหลังจะใช้เป็นประธานหรือเป็นกรรม ให้พิจารณาดูว่า สรรพนามใน ประโยคนั้นอยู่ในรูปผู้กระทำ หรือ ผู้ถูกกระทำ เช่น
It was she who came here yesterday.
เธอคนนึ้ ที่มาเมื่อวานนี้  ( ใช้ she เพราะเป็นผู้กระทำ )
It was her whom you met at the party last night.
เธอคนนี้ที่คุณพบที่งานเลี้ยงเมื่อคืนนี้ (ใช้ her เพราะเป็นกรรมของ   you met )
2. Possessive Pronouns ( สรรพนามเจ้าของ )  คือสรรพนามที่ใช้แทนคำนามเมื่อแสดงความเป็นเจ้าของ ได้แก่คำต่อไปนี้      mine,ours, yours, his, hers,its,theirs 
The smallest gift is mine. ของขวัญชิ้นที่เล็กที่สุดเป็นของฉัน
This is yours. อันนี้ของคุณ
His is on the kitchen counter. ของเขาอยู่บนเคาน์เตอร์ในครัว
Theirs will be delivered tomorrow. ของพวกเขาจะเอามาส่งพรุ่งนี้
Ours is the green one on the table 
ของพวกเราคืออันสีเขียวที่อยู่บนโต๊ะ
possessive pronouns มึความหมายเหมือน    possessive adjectives แต่หลักการใช้ต่างกัน
This is my book.
นี่คือหนังสือของฉัน ( my ในประโยคนี้เป็น possessive adjective ขยาย book )
This book is mine
หนังสือนี้เป็นของฉัน (  mine ในประโยคนี้เป็น possessive pronoun  ทำหน้าที่เป็นส่วนสมบูรณ์ ( complement)  ของคำกริยา is )
3. Reflexive Pronouns ( สรรพนามตนเอง ) คือสรรพนามที่แสดงตนเอง แสดงการเน้น ย้ำให้เห็นชัดเจน มักเรียกว่า -self form of pronoun  ได้แก่
    myself. yourself, yourselves, himself, herself, ourselves. themselves, itself  มีหลักการใช้ดังน
ี้
  • ใช้เพื่อเน้นประธานให้เห็นว่าเป็นผู้กระทำการนั้นๆ ให้วางไว้หลังประธานนั้น  ถ้าต้องการเน้นกรรม (object ) ให้วางหลังกรรม เช่น
    She herself doesn't think  she'll get the job.
    The film itself wasn't very good but I like the music.
    I spoke to Mr.Wilson himself.
  • วางหลังคำกริยา เมื่อกริยาของประโยคเป็นกริยาที่ทำต่อตัวประธานเอง 
    They blamed themselves for the accident.
    พวกเขาตำหนิตนเองในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ( ตามหลังกริยา blamed )
    You are not yourseltoday.
    วันนี้คุณไม่เป็นตัวของคุณเอง ( ตามหลังกริยา are )
    I don't
     want you to pay for me. I'll pay for myself
    ฉันไม่อยากให้คุณเป็นคนจ่ายเงินให้ ฉันจะจ่ายของฉันเอง
    Julia had a great holiday. She enjoyed herself very much.
    จูเลียมีวันหยุดที่ดี เธอสนุกมาก
    George cut himself while he was shaving this morning.

    จอร์จทำมีดบาดตัวเองขณะทีโกนหนวดเมื่อเช้านี้
หมายเหตุ  ปกติ จะใช้  wash/shave/dress โดยไม่มี myself
  • เมื่อต้องการจะเน้นว่า ประธานเป็นผู้ทำกิจกรรมนั้นเอง
    Who repaired your bicycle for you? Nobody, I repaired it myself.ใครซ่อมรถจักรยานให้คุณ. ไม่มีใครทำให้ฉันซ่อมเอง
    I'm not going to do it for you. You can do it yourself.

    ฉันจะไม่ทำ( อะไรสักอย่างที่รู้กันอยู่ ) ให้นะ คุณต้องทำเอง
    By myself หมายถึงคนเดียว มีความหมายเหมือน  on my own  เช่นเดียวกับคำต่อไปนี้
    on ( my/your/his/ her/ its/our/their own     มีความหมายเหมือนกับ
    by ( myself/yourself ( singular) /himself/ herself/ itself/
     ourselves/ yourselves(plural)/ themselves )
    เช่น
    I like living on my own/by myself. ฉันชอบใช้ชีวิตอยู่คนเ้ดียว
    Did you go on holiday on your own/by yourself? เธอไปเที่ยววันหยุดคนเดียวหรือเปล่า
    Learner drivers are not  allowed to drive on their own/ by themselves.
    ผู้ที่เรียนขับรถไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถด้วยตัวเองคนเดียว
    Jack was sitting on his own/by himself in a corner of the cafe.
    แจ๊คนั่งอยู่คนเดียวทีีมุมห้องในคาเฟ
4. Definite Pronouns หรือ Demonstrative Pronouns  คือสรรพนามที่บ่งชี้ชัดเจนว่าใช้แทนสิ่งใด เช่น
 this, that, these, those, one, ones, such, the same, the former, the latter
That is incredible!    นั่นเหลือเชื่อจริงๆ  (อ้างถึงสิ่งที่เห็น)
I will never forget this.   ฉันจะไม่ลืมเรื่องนี้เลย (อ้างถึงประสบการณ์เมื่อเร็วๆนี้)
Such is my belief.  นั่นเป็นสิ่งที่ฉันเชื่อ (อ้างถึงสิ่งที่ได้อธิบายไปก่อนหน้านี้ )
Grace and Jane ar good girls. The former is more beautiful than the latter.
  เกรซและเจนเป็นเด็กดีทั้งคู่ แต่คนแรก (เกรซ)จะสวยกว่าคนหลัง (เจน)
5.Indefinite Pronouns ( สรรพนามไม่เจาะจง ) หมายถึงสรรพนามที่ใช้แทนนามได้ทั่วไป มิได้ชี้เฉพาะเจาะจงว่าแทนคนนั้น คนนี้ เช่น
everyoneeverybodyeverythingsomeeach
someonesomebodyallanymany
anyoneanybodyanythingeitherneither
no onenobodynothingnoneone
moremostenoughfewfewer
littleseveralmoremuchless
Everybody loves somebody. คนทุกคนย่อมมีความรักกับใครสักคน
Is there anyone here by the name of Smith? มีใครที่นีชื่อสมิธบ้าง
One should always look both ways before crossing the street. ใครก็ตามควรจะมองทั้งสองด้านก่อนข้ามถนน
Nobody will believe him. จะไม่มีใครเชื่อเขา
Little is expected. มีการคาดหวังไว้น้อยมาก
We, you, they ซึ่งปกติเป็น personal pronoun จะนำมาใช้เป็น indefinite pronoun เมื่อไม่เจาะจง  โดยมากใช้ในคำบรรยาย คำปราศัย เช่น
We should prepare ourselves to deal with any emergency. เรา ( โดยทั่วไป) ควรจะเตรียมพร้อมไว้เสมอสำหรับเหตุการณ์ฉุกเฉิน)
You sometimes don't know what to say in such a situation. บางครั้งพวกคุณก็ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรในสถานการณ์เช่นนั้น.
6. Interrogative Pronouns ( สรรพนามคำถาม )  เป็นสรรพนามที่แทนนามสำหรับคำถาม ได้แก่  Who, Whom, What, Which  และ Whoever, Whomever,Whatever,Whichever   เช่น
Who want to see the dentist first? ใครอยากจะเข้าไปหาหมอฟันเป็นคนแรก? ( who ในที่นี้เป็นประธาน )
Whom do you think we should invite? เธอคิดว่าเราควรจะัเชิญใคร? (  whom ในที่นี้เป็นกรรม - object )
To whom do to wish to speak ? เธออยากจะพูดกับใคร? (  whom ในที่นี้เป็นกรรม - object )
What did she say?  เธอพูดว่าอะไรนะ? (  what เป็นกรรมของกริยา say )
Which is your cat ? แมวของเธอตัวไหน? ( which เป็นประธาน )
Which of these languages do you speak fluently? ภาษาไหนในบรรดาภาษาเหล่านี้ที่คุณพูดได้คล่อง? ( which เป็นกรรมของ speak )
หมายเหตุ   which และ  what  สามารถใช้เป็น  interrogative adjective   และ who, whom , which  สามารถใช้เป็น relative pronoun  ได้
7. Relative Pronouns ( สรรพนามเชื่อมความ ) คือสรรพนามที่ใช้แทนคำนามที่กล่าวมาแล้วในประโยคข้างหน้า   และพร้อมกันนั้นก็ทำหน้าที่เชื่อมประโยคทั้งสอง ให้เป็นประโยคเดียวกัน   เช่นคำต่อไปนี้  who, whom, which whose ,what, that , และ indefinite relative pronouns เช่น whoever, whomever,whichever, whatever
Children who (that) play with fire are in great danger of harm.
The book that she wrote was the best-seller
He's the man whose car was stolen last week.
She will tell you what you need to know.The coach will select whomever he pleases.
Whoever cross this line will win the race
.
You may eat whatever you  like at this restaurant.